ระบบคอนเดนเสท
ระบบคอนเดนเสทหรือการนำไอน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Condensate Return System)
ความสำคัญของการนำไอน้ำควบแน่นกลับมาใช้ใหม่ (The Importance of condensate Recovery)
ไอน้ำที่ควบแน่นหลังจากที่มีการถ่ายเทความร้นแฝงไปสู่กระบวนการผลิต ปริมาณความร้อนของไอน้ำที่ควบแน่นนี้มีปริมาณ 20% ของปริมาณความร้อนเดิมที่เกิดขึ้นเนื่องจากเชิ้อเพลิง จึงเป็นความสิ้นเปลืองหากมีการทิ้งส่วนนี้ไป ไอน้ำที่ควบแน่นควรนรำไปผ่านใหความร้อนกับขบวนการผลิตอื่น ๆ ที่ใช้อุณหภูมิต่ำกว่าในระบบไอน้ำ ไอน้ำที่ควบแน่นที่ไม่ปนเปื้อนกับสารเคมีในขบวนการผลิต เมื่อผ่านการทำความสะอาดเพียงเล็กน้อยและปรับความเป็นกรด-ด่างนำกลับเข้าระบบป้อน จะเป็นการลดค่าใชจ่ายในการเตรียมน้ำป้อนและลดการปล่อยน้ำที่ระบายทิ้ง ปริมาณความร้อนในน้ำที่ระบายทิ้งประมาณ 20% จะไปลดประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระบบไอน้ำลงมาก
การประหยัดโดยการนำเอาไอน้ำควบแน่นกลับมาใช้ใหม่ซึ่งสามารถคำนวณได้ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 ต้องทราบปริมาณไอน้ำควบแน่นที่นำกลับมาใช้ต่อชั่วโมงพร้อม ๆ กับอุณหภูมิ
ขั้นตอนที่ 2 คำนวณปริมาณความร้อนของไอน้ำควบแน่นที่ได้นำกลับมาใช้ โดย
Q = W x 4.2 x (Th-Ta) kJ/hr
โดยที่ W = อัตราการไหลของไอน้ำที่ควบแน่น/ชั่วโมง (กิโลกรัมต่อชั่วโมง)
Th = อุณหภูมิของไอน้ำควบแน่น (0C)
Ta = อุณหภูมิของน้ำป้อนที่เติมเข้าไป (0C)
ขั่นตอนที่ 3 จำนวนเงินที่ประหยัดได้สามารถคำนวณได้ดังนี้
S = (Q x N x FC) / (BE x GCA x 10)
โดยที่ Q = ปริมาณของความร้อนที่ประหยัดได้ (กิโลจูล/ชั่วโมง)
N = ชั่วโมงการปฏิบัติการตลอดทั้งปี
Be = ประสิทธิภาพของหม้อไอน้ำ (%)
GCV= ค่าความร้อนรวมของเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย (กิโลจูล/กิโลกรัม)
FC = ต้นทุนเชื้อเพลิง (ปอน์ด/ตัน)
S = การประหยัดที่ได้ (ปอน์ด/ปี)
ด้วยประสบการณ์จากโรงงานทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์หลายแห่งแสดงให้เห็นว่า มีการให้ความสำคัญกับระบบการนำไอน้ำควบแน่นกลับมาใช้ใหม่ (condensate Recovery System) น้อยกว่าระบบไอน้ำมาก บ่อยครั้งที่ไอน้ำควบแน่นไม่ถูกส่งกลับไปที่หม้อไอน้ำแต่ถูกปล่อยไปที่ท่อระบายน้ำทิ้ง และจากการที่ลงทุนกับระบบการนำเอาไอน้ำควบแน่นกลับคืนมาใช้ใหม่ ซึ่งรวมทั้งค่าท่อ วาล์ว อุปกรณ์ที่ใช้ปั๊ม การถ่ายเท่ความร้อน ฉนวน และอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่า ได้ผลคุ้มค่ากลับค้นมาอย่างรวดเร็ว
ข้อยกเว้น (Exceptions) โดยปกติจะมีข้อยกเว้นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับโรงงานที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายการลงทุนสูงมาก ในเรื่องของการติดตั้งและการรวบรวมไอน้ำควบแน่นกลับมา โดยปกติข้อยกเว้นเช่นนี้จะเกิดขึ้นในโรงงานที่มีการใช้หม้อไอน้ำขนาดเล็กและมีระยะทางไกลจากที่ตั้งหม้อไอน้ำมาก ข้อยกเว้นอีกประการหนึ่งคือ ในโรงงานที่ใชท่อที่ยาวมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะมีฉนวนอย่างดีก็ตาม จะทำให้ไม่มีปริมาณความร้อนที่มีประโยชน์เหลืออยู่ในการควบแน่นที่หม้อไอน้ำ อย่างไรก็ตาม ในกรณีเช่นนี้การส่งน้ำที่ควบแน่นแล้ว (Cold condensate) กลับคืนไปตามท่อที่มีความยาวขนาดนั้นก็ยังคุ้มค่า เพราะว่าค่าใช้จ่ายของน้ำดิบและการบำบัดน้ำป้อนสูงมาก
ถึงแม้ว่าการส่งไอน้ำควบแน่นกลับคืนไปที่หม้อไอน้ำจะไม่คุ้มค่าก็ตาม แต่ก็ไม่ควรทิ้งพลังงานความร้อนที่ได้จากการควบแน่นไป ยกเว้นไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น ตัวอย่างเช่น การนำปริมาณความร้อนของการควบแน่นไปใช้ประโยชน์ทางตรงหรือทางอ้อมในกระบวนการผลิตน้ำร้อน
บางครั้งไอน้ำควบแน่นอาจมีสารปนเปื้อนจากกระบวนการผลิต ถ้านำกลับเข้าหม้อไอน้ำจะปรากฎการเกาะเคลือบบนผิวการถ่ายเทความร้อน จะทำให้หม้อไอน้ำเกิดสาเหตุการร้อนมาเกินไป (Over Heat) ทำให้ผิวโลหะเสื่อมสภาพ ในสถานะการณ์ที่ไอน้ำควบแน่นมีสิ่งปนเปื้อนเล็กน้อย การตัดสินใจที่จะซื้อหรือบำรุงรักษาเครื่องแลกเปลี่ยนนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ (Heat Recovery Equipment) ค่อนข้างลำบาก ถ้ามีการใช้นำร้อนในกระบวนการผลิตเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนแบบง่าย ควรนำมาใช้เพื่อไม่ให้ความร้อนเสียเปล่าและต้องมีการทำความสะอาดเครื่องเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่เกาะผิวเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนตามระยะเวลา
กฎอีกข้อหนึ่งที่สำคัญกว่าหัวข้อการพิจาณราทั้งหมดในการตัดสินใจในด้านพลังงานก็คือ ถ้าเกิดความสงสัยหรือมีปัญหาเกี่ยวกับความบริสุทธอ์ของไอน้ำที่ควบแน่เกิดขึ้นที่ใดก็ตาม ห้ามส่งไอน้ำที่ควบแน่นนี้กลับไปที่น้ำป้อนของหม้อไอน้ำอย่างเด็ดขาด
ทิ้งไอน้ำที่ควบแน่นไปก็เท่ากับทิ้งเงินไป
การออกแบบระบบ (System Design)
ขนาดท่อ (Pipe Sizing)
เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแน่ใจว่าขนาดของท่อที่ใช้นำไอน้ำควบแน่น (Condensate) กลับต้องถูกต้องเท่า ๆ กับขนาดของท่อที่ใช้สำหรับนำไอน้ำไปใช้งาน โดยพื้นฐานแล้วก็คือเหตุผลเดียวกัน ถ้าท่อมีขนาดเล็กเกินไปก็ยิ่งต้องการพลังงานมากขึ้น เพื่อให้สามารถส่งไอน้ำที่มีความดันโต้กลับไปภายในระบบให้ได้
ถ้าท่อมีขนาดใหญ่เกินไป ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งก็จะสูงกว่าและการสูญเสียความร้อนที่พื้นผิวก็จะมากขึ้นด้วย การออกแบบขนาดของท่อไอน้ำควบแน่นให้ถูกต้องเป็นเรื่องที่ทำได้ยรากกว่าการออกแบบขนาดของท่อที่ถูกต้องสำหรับไอน้ำเป็นอย่างมาก ภายใต้สภาวะการใช้งานตามปกติ บางส่วนของไอน้ำควบแน่นจะ 'แฟลช (Flash)' ไปที่ไอน้ำในท่อปกติ ส่วนดังกล่าวก็จะมีน้ำหนักน้อยแต่จะมีปริมาตรใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีความเข้าใจรูปแบบของการไหล 2 ขั้นอตน (Two - Phase Flow) นี้ด้วย เมื่อมีการกำหนดขน่ดของท่อให้ถูกต้อง
จากประสบการณ์การปฏิบัติงานจริงที่ผ่านมาหลายปีทำให้สามารถใช้ 'วิธีปฏิบัติโดยอาศัยความชำนาญ (Rule of Thumb)' ได้กล่าวคือ ท่อไอน้ำควบแน่นทั้งหมดควรออกแบบให้มีขนาดสำหรับการไหลของน้ำภายใต้สภาวะของการเริ่มเดินเครื่อง เพราะภายใต้สถานการณ์การเริ่มเดินเครื่องเช่นนั้นจะเกิดไอน้ำควบแน่นอย่างรวเร็วและมีปริมารณการใช้ไอน้ำอย่างน้อยเป็น 2 เท่าของการเดินเครื่องตามปกติ และจากประสบการณ์ท่อที่ออกแบบให้มีขนาดตามลักษณะดังที่กล่าวมา จะสามารถพาไอน้ำแฟลชและน้ำที่ควบแน่นที่ผสมกันได้อย่างเพียงพอภายใต้สภาวะการเดินเครื่องดังกล่าว
ตารางที่ 2 แสดงให้เห็นถึงปริมาตรความจุของท่อที่สูงที่สุดสำภหรับการปฏิบัติงานทั่ว ๆ ไป โดยคำนวณจากความดันตก (Presure Drop) ที่ 0.8 mbar ต่อเมตรของการทำงานจองท่อ
อย่างไรก็ตามจากตารางที่ 2 และวิธีปฏิบัติโดยอาศัยความชำนาญตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถนำเอามาใช้ประโยชน์ได้เฉพาะกับระบบไอน้ำที่มีความดันไม่เกิน 14 บาร์เท่านั้น ถ้าความดันที่สูงกว่านี้ ปริมาณการเกิดไอน้ำแฟลชในท่อก็ต้องสูงขึ้นเป็นพิเศษ และก็จำเป็นต้องใช้ท่อไอน้ำที่มีขนาดตามความต้องการใช้มากขึ้นตามไปด้วย
ตารางที่ 2 ปริมาตรความจุของไอน้ำที่ควบแน่น (Condensate)/ไอน้ำแฟลชที่เกี่ยวข้องกับขนาดของท่อ
ขนาดท่อ (มม.) ความจุ (กก/ชม.)
15 160
20 370
25 700
32 1,500
40 2,300
50 4,500
65 9,000
80 14,000
100 29,000
วิธีที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับการเกิดไอน้ำแฟลชที่เพิ่มมากขึ้นในระบบที่มีความดันสูงก็คือ การนำกลับมาใช้ที่ความดันต่ำกว่า และใช้ตามจุดต่าง ๆ ภายในกระบวนการผลิต ทางเลือกอีกทางหนึ่งก็คือ ติดตั้งระบบการนำเอาไอน้ำที่ควบแน่นกลับมาใช้ในระบบปิด อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายแพงเกินกว่าจะติดตั้งได้ เพราะว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นต้องสามารถทนต่อความดันสูงที่เกิดขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ภายในระบบดังกล่าวต้องใช้ภาชนะที่ทนความดันได้ตามที่กำหนด จึงต้องมีการตรวจสอบการรับประกันด้วย
ท่อที่มีขนาดเล็กเกินไป ----------> ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานในการปั๊ม
ท่อที่มีขนาดใหญ่เกินไป ----------> ทำให้สูญเสียความร้อนที่พื้นผิวสูงขึ้น
โครงร่าง (Layout)
ระบบที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว การนำเอาไอน้ำควบแน่นกลั่นตัวกลับคืนมาใช้ใหม่ จะต้องไม่รบกวนความดันที่กลับเข้าไปในอุปกรณ์กับดักไอน้ำด้วย (Back Pressure) ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการเริ่มเดินเครื่อง เมื่อกับดักไอน้ำต้องระบายอากาศที่มีปริมาณมากในตอนแรกออกจากระบบ ต่อจากนั้นก็จะระบายน้ำออกในปริมาณที่มากเช่นเดียวกัน
เป็นการยากมากที่จะป้อนน้ำที่ควบแน่นกลับด้วยแรงโน้มถ่วงไหลกลับกลับไปยังถังน้ำป้อนของหม้อไอน้ำ การติดตั้งถังรับไอน้ำควบแน่นไว้ในระดับที่ต่ำกว่า จะช่วยบดความดันด้านกลับในกับดักไอน้ำลง และต่อจากนั้นก็จะสูบน้ำที่ควบแน่นกลับไปที่หม้อไอน้ำ เป็นเรื่องที่สะดวกกว่าไม่ว่าจะเป็นการใช้ปั๊มไฟฟ้า (ดังรูปที่ 6) หรือปั๊มอัตโนมัติแบบดัดไอน้ำ (ดังรูปที่ 7) ก็สามารถใช้ได้ และไม่ว่าจะเลือกแบบใดก็ตามต้องสามารถทนต่อน้ำที่ควบแน่นที่มีอุณหภูมิสูงเกือบถึงจุดเดือดได้ ภาชนะที่เก็บน้ำควบแน่นทั้งหมดต้องมีการระบายอากาศอย่างเหมาะสมด้วย เพราะภาชนะเหล่านี้ไม่ได้ผลิตมาให้เป็นภาชนะที่ทนต่อความดัน และไม่สามารถทนต่อความดันไอน้ำอย่างเต็มที่ได้เมื่อกับดักไอน้ำไม่ทำงาน
การยกไอน้ำที่ควบแน่น (Lifting Condensate)
คู่มือที่นำมาใช้อ้างอิงทั้งหมดกล่าวไว้ว่า ไม่ควรส่งน้ำที่ควบแน่นจากทางออกที่มีระดับต่ำขึ้นไปที่ภาชนะที่เก็บ หรือท่อที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติเพื่อความสะดวกที่จะติดตั้งท่อไอน้ำควบแน่นให้อยู่ในระดับสูงอยู่แล้วดังรูปที่ 8 แสดงให้เห็นถึงการจัดเตรียมที่ตัวอย่างสำหรับที่จะต้องส่งไอน้ำที่ควบแน่นและชี้ให้เห็นตำแหน่งของเช็ควาล์ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นเดียวกัน
ความดันไอน้ำที่อุปกรณ์กับดับไอน้ำเองจะต้องใช้เพื่อส่งไอน้ำที่ควบแน่นกลับ ไอน้ำที่ควบแน่นดังกล่าวจะเกิดความดันต้านกลับมาที่ 1 บาร์ของการลำเลียงไอน้ำควบแน่นทุก ๆ 10 เมตรที่สูง ซึ่งจะไปลดความดันที่แตกต่างกันในอุปกรณ์กับดักไอน้ำ ทำให้ไอน้ำผ่านไปได้น้อยกว่าไอน้ำที่ควบแน่น เช่น ถ้าอุปกรณ์กับดักไอน้ำต้องส่งไอน้ำที่ควบแน่นขึ้นไปสูง 10 เมตรจากภาชนะจำเป็นต้องใช้ไอน้ำภที่ความดัน 3 บาร์ และจะมีไอน้ำผ่านไปได้เพียงประมาณ 65% ของปริมาณที่ควรจะผ่านไปได้เมื่อปล่อยไอน้ำที่ควบแน่นออกไปสู่บรรยายกาศ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์กับดักไอน้ำที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ถ้าความดันที่แตกต่างระหว่างขาเข้าและออกอยู่ในอุปกรณ์กับดักไอน้ำมีจำนวนต่ำมากเกินไปก็จะทำให้อุปกรณ์กับดักไอน้ำม่สามารถทงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาวะการเริ่มเดินเครื่อง เป็นสาเหตุทำให้เกิดการอั้นตัวของน้ำ (Waterlog) อีกตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็คือส่วนที่จำเป็นต้องมีเครื่องควบคุมอุณหภูมิ (T^hermostatic Congrol) ของภาชนะที่ใช้ในกระบวนการผลิต เช่น ภาชนะที่มีเปลือกหุ้ม (Jacketed-Pan) เป็นต้น ดังนรั้นถ้าเครื่องควบคุมอุณหภูมิทำงานได้ดีโดยการลดกำลังการส่งไอน้ำลง จะทำให้ความดันไอน้ำตกลงต่ำมากเกินกว่าที่จะทำให้อุปกรณ์กับดักไอน้ำทำงานได้
ปัญหาของปั๊มน้ำป้อนเข้า (Feed Pump Problems)
การน้ำเอาไอน้ำที่ควบแน่นส่งกลับไปใช้ ถึงแม้จะได้รับประโยชน์จากหม้อไอน้ำมากขึ้นแต่ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ ปัจจุบันอุณหภูมิของพังเก็บน้ำป้อนเข้าก็จะสูงอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาของการเกิดโพรงอากาศ (Cavitation) และการเกิดปิดกั้นไออั้น (Vapour Locking) ในเครื่องสูบน้ำที่ปั๊มน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำ เพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้น ปั๊มน้ำป้อนของหม้อไอน้ำจะต้องมีความดันทางด้านสูบเข้ามีค่าสุทธิเป็นบวก หรืออธิบายได้อย่างง่าย ๆ ก็คือ ถังเก็บน้ำป้อนเข้าต้องอยู่สูงกว่าทางเข้าของปั๊มน้ำป้อนที่เข้าหม้อไอน้ำ ในตารางที่ 3 แสดงให้เห็นความแตกต่างของความสูงที่น้อยที่สุดที่ต้องการสำหรับอุณหภูมิของน้ำป้อนเข้าที่แตกต่างกันออกไป
ตารางที่ 3 แรงดูดของปั๊มน้ำเข้าเครื่องสำหรับอุณหภูมิต่าง ๆ ของน้ำป้อน
อุณหภูมิ ความสูงของน้ำ (suction head)
(0C) (ม.)
86 1.5
90 2.1
95 3.5
100 5.2
การนำไอน้ำแฟลชกลับมาใช้ใหม่ (Flash Steam Rcovery)
ไอน้ำแฟชล (Flash Steam) จะเกิดขึ้นเมื่อไอน้ำที่ความดันสูงกว่าถูกปล่อยออกไปที่ความดันต่ำกว่า การนำเอาไอน้ำแฟชลจากไอน้ำที่ความดันสูงมาใช้ใหม่เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ประหยัดความร้อนได้
ไอน้ำกลั่นตัวที่ออกจากอุปกรณ์กับดักไอน้ำจะอยู่ในสภาวะความดันเดียวกันกับไอน้ำ ตังอย่างเช่น ไอน้ำกลั่นตัวที่ 5 บาร์ มีอุณหภูมิอยู่ที่ 1590C (จากตารางไอน้ำ) และมีความร้อนสัมผัสที่ 671 กิโลจูล/กิโลกรัม ในขณะที่น้ำที่ความดันบรรยากาศสามารถมีความร้อนสัมผัสได้ 419 กิโลจูล/กิโลกรัม ส่วนเกินอีก 252 กิโลจูลที่เหลือถูกนำไปใช้ทำการระเหยน้ำบางส่วนใหม่เพื่อผลิต 'ไอน้ำ-แฟลช' ดังรูปที่ 9 แสดงให้เห็นว่ามีไอน้ำแฟลชมากเท่าไหร่ที่ผลิตได้จากไอน้ำควบแน่นที่ปล่อยออกมาจากกับดักไอน้ำ
ตัวอย่าง :
ลองพิจารณาดูว่าในกรณีที่ต้องการนำเอาไอรเสยแร้ร 1,000 กก. ที่ความดันสูงที่ 7 บาร์ เพื่อให้ผลิคไอน้ำแฟลช ณ ความดันบรรยากาศ
ก) จากกราฟ ปริมาณของไอน้ำแผลชจากไอน้ำควบแน่น = 0.134 กิโลจูล/กก.
ข) ไอน้ำแฟลชที่ผลิตได้ต่อชั่วโมงต่อการใช้ไอน้ำควบแน่น 1,000 กก. = 134 กก.
ค) ด้วยอัตราการระเหยเท่ากับ 5 จะประหยัดถ่านหินที่ใช้ในปริมาณเท่า ๆ กันเมื่อคิดเป็นกิโลกรัม จากการนำเอาความร้อนจากไอน้ำแฟลชกลับมาใช้ได้ใหม่ = 27 กก.
ง) ประหยัดค่าใช้จ่ายถ่านหินประจำปีต่อตันสำหรับชั่วโมงการทำงาน 5,000 ชั่วโมง = 27 x 5,000 = 135 ตัน
1,000
ไอน้ำแฟลชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้กับทุก ๆ จุดของกระบวนการที่จำเป็นต้องมีไอน้ำความดันต่ำ ตัวอย่างเช่น ในระบบการให้ความร้อน หรือใช้กับลูกกลิ้งให้ความร้อน เป็นต้น
การใช้ไอน้ำแฟลช - ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิง